อันที่จริงจะว่าไปแล้วเมือง Wakkanai นี้แทบไม่มีอะไรที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปที่ญี่ปุ่น ยิ่งหากมีเวลาจำกัดในการเที่ยวด้วยแล้ว ผมก็ไม่อยากแนะนำให้ไปเที่ยวที่นี่เท่าไหร่นัก แต่ที่ผมไปก็ด้วยความคิดอย่างเดียวว่า “อยากเห็น อยากรับความรู้สึก ของการไปที่เมืองเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ” ว่าจะเป็นอย่างไร อีกทั้งเป็นเมืองที่มองไปเห็นประเทศรัสเซียอีกด้วยและเป็นจุดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การทะเลาะกับรัสเซียเรื่องข้อพิพาทดินแดนทางเหนือ ยิ่งอยากดูเข้าไปใหญ่
ก่อนอื่นเรามาดูว่า เมือง Wakkanai อยู่ตรงไหนในแผนที่กันก่อนนะครับ
ในภาพบนจะเห็นประเทศญี่ปุ่นมีเกาะใหญ่ทางเหนือคือเกาะ Hokkaido ที่มีเมือง Sapporo เป็นเมืองหลัก บนสุดของเกาะ Hokkaido ก็คือเมือง Wakkanai และจุดที่อยู่สุดยอดแดนสยาม เอ๊ย แดนญี่ปุ่นก็อยู่ที่เมืองนี้แต่ต้องออกจากตัวเมืองไปหน่อยนึงครับ ทีนี้เรามาดูเรื่องความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองนี้กันนิดนึง เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในเมืองๆนี้ครับ
ก็ต้องท้าวความไปถึงอีก 2 เกาะคือ เกาะ Sakhalin และ Kuril Islands ด้วยครับ บรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นกลุ่มนึงคือ ชาวไอนุ มีรกรากอยู่แถบเกาะฮอกไกโดและ Sakhalin นี่แหละครับ ในราวปี 1800 กว่าๆ ทางญี่ปุ่นกับรัสเซียก็ถกเถียงกันว่า เกาะนี้เป็นของใครกันแน่ ต่อมาในปี 1855 ก็มีการตกลงกันว่าชาวรัสเซียอยู่ตอนเหนือของเกาะ ชาวญี่ปุ่นอยู่ทางตอนใต้ของเกาะแล้วกัน ไม่ต้องมีเส้นปันพื้นที่อะไรกัน ตกลงกันได้ไม่นานอีก 20 ปีต่อมา ก็ตกลงกันใหม่ ญี่ปุ่นยอมยกให้หมดทั้งเกาะเลยก็ได้ แต่ขอ Kuril Island เป็นของญี่ปุ่น คือแลกกันว่ากันง่ายๆครับ ก็ตกลงกันได้ ชาวญี่ปุ่นก็ย้ายจากเกาะ Sakhalin มาอยู่ที่เกาะ Hokkaido กันหมด แต่ก็มีบางคนรับไม่ได้ที่ต้องย้ายก็ยอมทำร้ายชีวิตตนเองครับ เฮ้อ คนญี่ปุ่นนี่นะ
ถ้าเข้าใจแบบนี้เป็นพื้นฐานไว้ก่อน เดี๋ยวจะพาไปดูจุดต่างๆที่น่าสนใจของ Wakkanai ที่เค้าก็ยังอนุรักษ์ความหมายของเรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ไว้เป็นอนุสรณ์ครับ
มาเริ่มที่การเดินทางผมใช้การเดินทางแบบเร่งรีบเพราะมีเวลาน้อยจึงนั่งเครื่องบินของ ANA ไปเลยครับโดยขึ้นจากสนามบิน Chitose ของ Sapporo ไปลงที่ Wakkanai เลย เครื่องบินใบพัดเสียด้วยครับผมเพราะระยะทางไม่ไกลครับ ตอนขึ้นเครื่องบิน อากาศก็หนาวแต่ไม่มีหิมะครับ
แต่พอไปถึงนี่สิ หิมะตกหนามาก ฟ้ามืดเร็วมาก 5 โมงก็มืดแล้ว รีบเข้าโรงแรมดีกว่า
เสร็จแล้วก็เดินฝ่าหิมะตกและหิมะที่อยู่ที่พื้นไปหาอะไรทาน ร้านอาหารส่วนมากก็จะปิดแล้วเพราะความหนาวคนไม่ค่อยออกมาจากบ้าน เดินไปจนเจอร้านอาหารร้านนึงที่ยังเปิดอยู่ และมีคนทานอยู่อย่างครึกครื้นก็เข้าไปเลยครับ
ร้านอาหารที่น่ารักแห่งนึ้เมื่อเข้ามาก็อุ่นเลยครับ สังเกตุเสื้อของเจ้าของร้านสามารถใส่แบบนี้ได้อย่างสบายๆ
ลูกค้าทื่นั่งอยู่ด้วยก็ชวนคุยครับ พวกเค้าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลย แต่ก็พยายามคุยเหลือเกิน เค้าไม่ค่อยคุ้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติครับ เพราะ ไม่ค่อยจะมีใครเค้ามากันก็คุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ชนแก้วอะไรก็ว่ากันไปครับอบอุ่นทั้งกายและใจ กับเมืองเล็กๆแบบนี้ครับ
จากนั้นกลับที่พักแล้วนอน ตื่นขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง โอโห หิมะคงจะตกตลอดเวลาที่หลับไป ถนนและทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกมีหิมะปกคลุมไปหมด แบบนี้จะไปเห็นอะไรนอกจากหิมะ อย่างไรก็ตามมาแล้วก็เก็บภาพไปก่อนครับ
เดินเก็บภาพไปเรื่อยๆครับ เมืองนี้เป็นเมืองชายทะเล จึงมีท่าเรือขนาดใหญ่ ที่สำคัญมีเรือเฟอร์รี่วิ่งบริการไปมาระหว่างรัสเซียและญี่ปุ่นก็ที่เมืองนี้ครับ
เชือกผูกเรือที่ถูกทิ้งไว้ข้ามคืน
หิมะตกหนา ข้างล่างเป็นแผ่นน้ำแข็ง เดินลำบากมากครับ ลื่นจริงๆ
ผมสอบถามคนที่นี่ เค้าไม่ชอบหิมะเลยครับ เพราะ มันทำให้เค้าต้องออกมาโกยหิมะกัน เหนื่อยและต้องทำกันทุกวัน
เดินไปเรื่อย มาเจอสิ่งปลูกสร้างอันนึงอยู่ริมทะเล เค้าสร้างไว้ทำอะไรเดี๋ยวดูกันครับ
เค้าสร้างไว้เป็นกำแพงกั้นลม ซึ่งผมเดาว่าคงมีบางฤดูที่มีลมพัดเข้ามาจุดนี้แรงมาก จึงสร้างกำแพงบังลมไว้ให้เป็นรูปโค้ง แต่ด้วยความที่ทำเสาและเพดานข้างในเสียอย่างสวยงาม คนก็เลยชอบมาถ่ายภาพกันครับเพราะแสงมันจะสวยดี และ ก็กลายเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วย วันนี้ คนก็มาใช้สำหรับออกกำลังครับ เพราะถ้าเดินวิ่งบนหิมะมันจะลื่นมาก ไม่ไหวครับ
ความลำบากอีกประการของการที่หิมะตกคือ ถนนลื่น ผู้ใช้รถก็ต้องระวังคน คนก็ข้ามถนนต้องระวังเพราะอาจล้ม คนที่นี่จึงต้องมีวินัยสูงมาก
จะข้ามถนนแบบตามใจฉันไม่ได้เลยเพราะรถจะเบรคไม่อยู่และอาจทับหรือชนคนได้ครับ การขับรถก็ต้องเบรคตั้งแต่ยังไกลๆเลย เพราะรถไหลกันเป็นธรรมชาติเลยครับ
หน้าร้านอาหารที่ทานเมื่อคืน ตอนนี้เป็นแบบนี้แล้ว
หิมะที่ค้างอยู่บนหลังคา ก็จะหนักมากและดันตัวเองตกลงมาที่พื้น การเดินก็ต้องระวังมากเพราะ หิมะบางก้อนที่ตกลงมาทั้งหนักทั้งแข็งเลยครับ
ถึงเวลาเก็บของเพื่อไปดูที่อื่นต่อแล้วครับ
ก็ตั้งใจจะไปที่จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นหรือ Soya Bay ณ จุดที่เรียกว่า Soya Strait ครับ ต้องนั่งรถแท็กซี่เลียบทะเลไป
ณ.จุดนี้ก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ครับ ที่เนินเขาจะมีจุดสังเกตุการณ์ทางการทหารสมัยก่อนอยู่ สมัยที่ญี่ปุ่นกับรัสเซียยังฮึ่มๆกันอยู่ จากจุดนี้มองออกไปก็เห็นเกาะ Sakhalin ด้วยครับ มันประมาณ 30-40 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ป้อมสังเกตุการณ์ครับ
จุดนี้แหละครับ ที่เค้าทำเป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นครับ (เอ อันที่จริงมันไม่น่าจะใช่ เพราะน่าจะต้องนับที่ปลายของหมู่เกาะ Kuril Islands มากกว่านะ)
อุณหภูมิที่แสดงไว้บอกว่าที่ -2 องศา แต่ก็ไม่หนาวมากเกินไปครับ
ด้วยความที่มีเวลาน้อยและอยากจะไปเมืองอื่นในเกาะฮอกไกโดอีก ก็ต้องเล่นกันด้วยเครื่องบินล่ะครับ สนามบินก็ยังมีหิมะคลุมอยู่ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลก็โค้งผู้โดยสารด้วยความสุภาพ ตามมาตรฐานของพวกเค้าล่ะครับ
ก็ขอจบบล็อกนี้ด้วยเรื่องราวประมาณนี้นะครับ หวังว่าคงพอเป็นข้อมูลให้เห็นว่า มีอะไรน่าสนใจ ไม่น่าสนใจอย่างไร เป็นเรื่องราวช่วยการตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มาที่เมืองนี้นะครับ สำหรับผม ผมพอใจแล้วที่ได้มาสัมผัสครั้งนึงในชีวิตกับ Wakkanai เมืองเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นครับผม