ประวัติและที่มาของ Merlion สัญญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์

The_Merlion_History

ภาพจาก Wikipedia

ภาพที่เราเห็นกันจนชินตาว่าเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์นั่นก็คือ Merlion  แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีผู้รู้คือ Merlion มีประวัติมาอย่างไร บล็อกนี้จะเล่าให้ฟังคร่าวๆนะครับ

Merlion History ประวัติ เมอร์ไลอ้อน

ภาพจากหนังสือ From Third World to First ของนาย ลีกวนยู

ในราวปี 1965 ตอนนั้นประเทศสิงคโปร์เพิ่งได้รับเอกราชใหม่ๆ ประเทศก็ยากจนไม่รู้จะเอาสตางค์เข้าประเทศมาจากไหน นาย ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในวันนั้นเล่าว่า มีคนแนะนำให้สร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามาสิ แกก็เห็นด้วยเลยไปจ้างนาย Runme Shaw หนึ่งในพี่น้องที่สร้างค่ายหนัง Shaw Brother ที่คนมีอายุจะคุ้นหูกันหน่อยล่ะครับ นาย Runme Shaw มานั่งเป็นประธานกรรมการการส่งเสริมการท่องเที่ยวสิงคโปร์

Merlion History Shaw Brother

นาย Runme Shaw บอกว่า สิงคโปร์ไม่มีอะไรดึงดูดใจ ไม่มีอะไรจูงใจให้คนมาเลย เราสร้าง Story ให้สิงคโปร์กันเถอะ

Merlion History 4

ด้วยความที่แกเป็นนักสร้างหนัง แกก็สร้างเรื่องราวให้กับ Merlion ว่าเป็นสัตว์ที่ปกป้องสิงคโปร์มาในอดีต มีเจ้าชายชื่อ Sang Nila Utama เคยเห็นอยู่ที่เกาะแห่งนี้  ต่อไป Merlion ก็ต้องปกป้องสิงคโปร์ในภายภาคหน้า

Merlion History3

คำว่า Merlion นาย ลีกวนยูบอกว่า มาจากคำว่า Mermaid + Lion กลายเป็น Merlion ส่วนเรื่องราวอีกกระแสบอกว่า Mer แปลว่า ปลา Lion คือ สิงค์ หรือ สิงคโปร์  พวกเค้าก็สร้างเรื่อง Merlion ขึ้นมาเป็นจุดขายให้กับสิงคโปร์จนวันนี้เราก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เค้าเอาเจ้า Merlion นี้เป็นจุดเด่นของสิงคโปร์จนมีคนนับล้านๆคนไปดูเจ้า Merlion นี้ทุกปีๆ อีกทั้งของชำร่วยที่เป็นรูป Merlion ก็ทำเงินให้สิงคโปร์มากมายทุกปีๆ

เค้าตั้งมันไว้ที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ครับ

Merlion History 2

แต่จะว่าไป ชาวบ้าน ชาวสิงคโปร์เองก็ไม่ค่อยจะซื้อเรื่องราวของ Merlion เท่าไหร่นักหรอกครับ แต่พวกเค้าก็เลยตามเลย

สำหรับเรา เราก็ได้เรียนรู้ว่า การตลาดเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ การสร้าง Story ให้กับสินค้าช่างเป็นเรื่องที่สำคัญเสียจริงๆ สิงคโปร์ไม่มีอะไรเป็นประวัติศาสตร์ที่น่ารู้ก็ยังอุตส่าห์มี Merlion มาเป็นจุดขายได้

ประเทศเราล่ะ มีจุดขายมากมายเลย ถ้าเอาเรื่องของ Story มาผนวกเข้าไปอีกหน่อย การท่องเที่ยวของเราคงบูมไปอีกนานแสนนานเลยครับ

Trachoo.com
This entry was posted in See it, think about it. Bookmark the permalink.
%d bloggers like this: