ความท้าทายของนักโฆษณา

ความท้าทายของนักโฆษณา

ราว 30 ปีกว่าก่อน โฆษณาทางโทรทัศน์ไม่น่าดูเลย น่าเบื่อมากคนต้องทนดูๆไป ผลทางการตลาดก็ราบรื่นไปตามเรื่อง เพราะไม่มีรีโมท ขี้เกียจลุกไปเปลี่ยนช่อง

พอเข้าถึงยุคทีวีมีรีโมท พอตัดเข้าโฆษณา คนก็กดรีโมทไปช่องอื่น ดูอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่โฆษณา แบบนี้งบโฆษณาก็สูญเปล่า เพราะคนไม่เห็น คู่แข่งตัวฉกาจคือ รีโมททีวี

วงการโฆษณาก็สู้สุดฤทธิ์ ไม่ยอมแพ้ไอ้รีโมทหน้าแฉล้ม วงการโฆษณาเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเราทำโฆษณาให้สวย สนุก ดูดี เพลงเพราะ(ยุคนั้นยังไม่มีกฏหมายลิขสิทธิ์เพลง เพลงฝรั่งสามารถฟังได้ทางทีวีนี่แหละ แถมมีภาพสวยๆอีก) คนคงอยากดูมั้ง

ได้ผลครับ ไปๆมาๆ หนังโฆษณาบ้านเราถ่ายทำดี ตัวแสดงดูมีเสน่ห์ ถ่ายเมืองไทยตัดต่อฮ่องกง วงการโฆษณากลับมาบูม คนชอบดูโฆษณามากกว่าหนังหรือละคร เพราะคุณภาพต่างกันลิบลับ

คนไทยชอบโฆษณามาก คืนไหนมีโฆษณาใหม่ๆออกมาที่สนุกๆ ตื่นเช้าจะรีบไปบอกไปคุยกับเพื่อนว่า เห็นรึยังๆ ถ้ายัง คืนนี้ให้รีบกลับไปดู นั่งรอโฆษณาตัวโปรด ราวกับเป็นหนังสั้น วันๆนั่งรอดูอยากดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงการตลาดชอบใจ ถือว่าได้ Frequency การเห็นซ้ำสูง

วงการโฆษณาไทยเก่ง โด่งดัง ต่างชาติต้องมาจ้างไปถ่ายให้ที่บ้านเค้า โปรดักชั่นเฮ้าส์เกิดเป็นดอกเห็ด หนังโฆษณาไทยไปได้รางวัลเมืองคานส์ เมืองที่นักโฆษณาอยากได้รางวัลแต่ไม่อยากขึ้นคานส์

วันเวลาหมุนไป อินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพล นักการตลาดก็เอาหนังโฆษณาที่ฉายทางทีวีเอาไปใส่ในออนไลน์ ใส่ในยูทูปด้วย หวังเพิ่มโอกาสการเห็นหนังโฆษณา นอกจากเห็นแล้ว ถ้าชอบ ก็แชร์

อินเตอร์เน็ตเข้ามาสร้างความท้าทายให้นักโฆษณาอีกครั้ง เมื่อ หนังที่เหมือนอันที่ออกในทีวี คนจะไม่ชอบแชร์ เพราะ มันมีให้ดูในทีวีแล้ว วงการโฆษณาเลยต้อง สร้างหนังโฆษณาที่ออกฉายเฉพาะทางออนไลน์เท่านั้น สร้างยาวได้ไม่ต้อง 15 วินาที 30 วินาที 45 วินาที ยิ่งยาวยิ่งสนุก คนยิ่งชอบ

ปัญหาไม่จบง่ายๆ เมื่อ คนไทยเปลี่ยนนิสัยอีกครั้ง คือ ดูทีวีน้อยลง แถม โฆษณาทางออนไลน์ก็ดูแค่ 1-2 ครั้ง ถ้าชอบมาก อาจดู 3 ครั้ง ถ้ามาอีกก็จะไม่ดูแล้ว ถ้าเห็นทางทีวี ก็ไม่ดูซ้ำแบบยุคเก่า ไม่ดูโฆษณาก้มหน้าเล่นมือถือดีกว่า

ผลคือ Frequency ของการเห็นตกลง คือ คนดูซ้ำน้อยลง พอดูซ้ำน้อยลง ก็จำจุดขายไม่ได้ จำสโลแกนไม่ได้ จำหน้าตาแพคเกจจิ้งไม่ได้ คราวนี้ปัญหาหนักเลย พฤติกรรมการรับสื่อเปลี่ยนแปลงหนัก

ยัง!!! แต่นี้ยังไม่สะใจ ต้องเจอดอกนี้ที่หนักเลยคือ เฟซบุค ส่งเสริมคลิปวิดีโอทางบ้านและการไลฟ์สด ผนวกกับ ทุกคนในสังคมมีกล้องวิดีโอในมือทุกคนตลอดเวลา แค่นั้นยังไม่พอ ซื้อกล้องมาติดหน้ารถ ให้มีเรื่องดราม่ามาออกเฟซบุคได้ทุกวัน ไม่นับสาวสวยยอมพลีชีพฉายเรือนร่างแบบวิดีโอเรียกยอดไลค์กันอีก

คลิปวิดีโอมากมายออกมาแย่งความสนใจจากหนังโฆษณา

หนังโฆษณาคราวนี้ ต่อให้ถ่ายดี สนุกแค่ไหน สวยแค่ไหน ก็ไม่น่าดูเท่าคลิปดราม่าที่สังคมกำลังพูดถึง นี่ยังไม่นับเรื่องราวที่น่าดู น่าด่า และเรื่องของเพื่อนๆในออนไลน์อีก หนังโฆษณาดังๆ ก็ดังไม่เกิน 2 วัน ก็เลิกดูแล้ว

ความท้าทายครั้งนี้ หนักหนานัก ล่าสุด แม้กระทั่งเจ้าพ่อวงการชาเขียว ที่ออกแคมเปญแก้หนี้แจกเงิน ยังต้านกระแสไม่ไหว เงียบสนิท

นักโฆษณาเจอโจทย์ใหม่ยากกว่าเก่าเยอะ ผลการโฆษณาตกลงอย่างรูดกระทูด นักการตลาดก็พลอยมึนตึ้บไปด้วย ทำอย่างไร แผนการตลาดจะถูกส่งต่อไปถึงผู้บริโภคในยุคนี้ได้

ผมเองก็มีไอเดียของผมที่จะสู้กับสถานการณ์แบบนี้

ส่วนวงการโฆษณาก็คงมีแนวทางของเค้าไป ลุงโฆษณาเก่าอย่างผมก็อยากตามเรียนรู้น้องๆหลานๆรุ่นใหม่ครับ

เรียนรู้กันไม่หยุด เพราะ โลกมันไม่หยุดเปลี่ยนแปลง

Trachoo.com
This entry was posted in Digital Marketing, From my experiences, From My Facebook, Marketing and Branding and tagged , , , , , . Bookmark the permalink.
%d bloggers like this: